เทศน์พระ

ทำตน

๒๙ ส.ค. ๒๕๕๘

 

ทำตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมนะ บวชมานี่บวชมาเพื่อหาสัจธรรม บวชมานี่บวชมาเพื่อภาวนา ถ้าภาวนาแล้วนะให้มันได้ข้อเท็จจริง ให้มันได้สัจธรรมความจริงในหัวใจของเรา ข่าวร่ำข่าวลือมันจะมีลือมาขนาดไหนมันเรื่องของเขา ตามกระแสสังคมน่ะมันข่าวลือ ข่าวลือพยายามปลุกกระแสกัน แล้วเราก็ไปฟัง ฟังแล้วก็ตื่นเต้น ขนลุกขนพองไปกับเขา มันไร้สาระนะ

ความดีก็เป็นความดีไง ความดีของใครก็เป็นความดีของคนนั้นไง แล้วถ้าความดีนะ ความดีเห็นไหม กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมนี่มันหอมทวนลม อยู่เฉยๆ นี่มันเป็นโดยสัจจะมันเป็นข้อเท็จจริง คนเราแสวงหาความจริงอยู่แล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านแสวงหาความจริง หาครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริง แล้วพยายามจะประพฤติปฏิบัติ “ขอให้มีคนบอกเถอะ มีใครสักคนหนึ่งบอกเถอะ บอกทางให้เราไปนี่ ขอให้ชี้ทางให้เถอะ เราจะขวนขวายของเราไปให้ได้”

ไอ้นี่มันไม่มีคนบอกไง แล้วเวลาค้นคว้าเองๆ ก็ค้นคว้าเองโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งๆ ที่เจตนาดีนะ เจตนาของเรานี่เจตนาบวชมาเพื่อจะพ้นจากทุกข์ บวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ก่อนบวชนะมีแต่ความตั้งใจจริงทั้งนั้น แต่เวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เห็นไหม เอาจริงเอาจังๆ เอาจริงเอาจังก็โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปั่นหัวให้เราล้มลุกคลุกคลานไปตลอดเลย ถ้ามันปั่นหัวให้เราล้มลุกคลุกคลานไปตลอด เราจะสู้กับมันยังไง เราจะสู้กับมันอย่างใด

เราจะเอาความจริง เราปฏิบัติความจริง เห็นไหม ดูสิ เวลาคนทางโลกเขา เขาสร้างเนื้อสร้างตัวของเขานี่ เวลาเขาสร้างเนื้อสร้างตัวของเขา เห็นไหม เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขามีปัญญาของเขา เขาวิจัยของเขา เขาพยายามค้นคว้าของเขาเพื่อความจริงของเขา เวลาเขาผิดพลาดขึ้นมา ผิดพลาดขึ้นมาเห็นไหม คนเราผิดพลาดไปแล้วแก้ตัวก็มี

เวลาคนผิดพลาดไปแล้วเห็นไหม พอผิดพลาดไปแล้วจะเอาคืน จะเอาคืนขึ้นมาก็จะหาทางลัด หาหนทางที่จะเอาทุนคืน จะหาหนทางเอาแต่ผลประโยชน์ มันก็เลยกลายเป็นทุจริต กลายเป็นการทำความผิดกฎหมาย แล้วทำผิดกฎหมายไปแล้วก็พยายามปกปิดกันไว้ เพื่อจะเอาว่าสิ่งนั้น เอาแต่ผลประโยชน์ว่าเราทำแล้วเราประสบความสำเร็จ

เวลาความจริงมันแดงออกมาเห็นไหม ติดคุกติดตะราง เรากระทำผิดกฎหมาย เราทำผิดกฎหมายเพราะอะไร ทำผิดกฎหมายเพราะเราจะแก้ตัว เราจะแก้ตัว เราจะฟื้นฟู เราจะเอาความประสบความสำเร็จในชีวิตของเรา ถ้ามันจะได้โดยผิดกฎหมายได้โดยทุจริตก็เอาแล้วแหละเห็นไหม ดูทางโลกเขาคิดกันอย่างนั้น

นี่เหมือนกัน เวลาเราบวชมาแล้วนี่ เราตั้งใจเพื่อจะประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เจตนาดีทั้งนั้น เวลาบวชขึ้นมานี่เจตนาเราดีเพราะอะไร เพราะเรายังไม่ได้ทำ เราไม่ได้ทำนะ เราเห็น ครูบาอาจารย์ท่านทำประสบความสำเร็จแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปูมั่น ท่านประสบความสำเร็จแล้วเราก็อยากจะประสบความสำเร็จอย่างนั้น ทุกคนก็อยากประสบความสำเร็จอย่างนั้น ถ้าประสบความสำเร็จอย่างนั้นมันก็ต้องทำตามข้อเท็จจริง ถ้าทำตามข้อเท็จจริงเห็นไหม มันชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันทำความสะอาดของใจเข้าไป ถ้าใจมันไม่มีพิษมีภัย มันอยู่ที่ไหนมันก็มีความสุขมีความสงบของมันไง

แต่ถ้าหัวใจมันยังสุขสงบไม่ได้ แต่เรามองอย่างนั้นเห็นไหม เรามองอย่างนั้นเราก็ไปพยายามเลียนแบบอย่างนั้น พอเลียนแบบอย่างนั้นเราจะสร้างตัวสร้างตน สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ถ้าสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมามันก็ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยความสามารถของเรา แล้วมันมีทรัพย์สมบัติของเรา มันมีองค์ความรู้ของเราเห็นไหม เรามีองค์ความรู้ของเรา เราจะไปเผชิญสิ่งใดในวิกฤติของชีวิต เราเจอสิ่งใดที่กิเลสมันหลอกมันล่อในหัวใจขึ้นมานี่ เรามีองค์ความรู้ เรามีความรู้ เรามีปัญญา เราแก้ไข เราจัดการในความรู้สึกนึกคิดของเราได้

เราแก้ไขว่าอะไรเป็นมิจฉาทิฎฐิ อะไรเป็นสัมมาทิฏฐิ อะไรที่มันหลอกมันล่อ อะไรที่มันพลิกแพลงมา เพราะขณะที่เราประพฤติปฏิบัติเราก็ได้ต่อสู้กับมันมาแล้วไง ถ้าเราไม่ได้ต่อสู้กับมันมา เราไม่ได้แก้ไขมานี่ เราจะรู้ได้อย่างไงว่าเราได้ปล่อยวางอะไรมาบ้าง ถ้าเราปล่อยวางสิ่งที่เราได้ต่อสู้มาแล้วนี่ เวลากิเลสมันหลอกมันล่อ มันก็เอากิเลสเอาลูกเอาหลานมัน เอาเทคนิคของมันมาหลอกมาล่อในหัวใจของเรา

ก็เราได้ต่อสู้กับมันมาแล้ว เราได้ต่อสู้แล้ว เราได้พิจารณาแล้ว เราได้ปล่อยวางมาแล้วนี่แต่กิเลสอย่างละเอียดที่ในหัวใจขึ้นมา เวลามันหลอกมันล่อขึ้นมา เราก็มีจุดยืน เราก็มีองค์ความรู้ เราเคยผ่านมาแล้วนี่ เราก็รู้อยู่ เอ้อ! สิ่งนี้เราเคยประสบมาแล้ว สิ่งนี้เราก็เคยมาผ่านมาแล้ว แล้วสิ่งนี้มันเคยประสบมาแล้ว มันเคยผ่านมาแล้ว มันจะมาหลอกเราได้อย่างไรอีกล่ะ แต่มันก็ยังมา

ถ้ามันมีสติปัญญาเห็นไหม แล้วถ้ามีองค์ความรู้มันเป็นแบบนี้ เพราะเรามีองค์ความรู้ เรามีความรู้ของเรา เรามีมรรคของเราเห็นไหม เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาของเรา เราก็ต่อสู้กับมัน เราก็แยกแยะมันได้ว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร ถ้าเรามีองค์ความรู้ มันก็มีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญาในสิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมาหลอกมาล่อ เราก็เท่าทันมันเพราะเรามีองค์ความรู้

แต่ถ้าเราปฏิบัติไป เรายังไม่มีองค์ความรู้เห็นไหม ผู้ที่บวชใหม่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ นี่เราก็ศึกษามา ศึกษามาก็เป็นปริยัติ ดูสิ ทางโลกเขาศึกษากันมา เขาเป็นศาสตราจารย์ดอกเตอร์ต่างๆ เขาก็ศึกษามา ศึกษามาบางคนจบมาแล้วไม่มีงานทำ เขาไม่มีงานทำนะ เพราะวุฒิเขาสูง แต่ทางสังคมเขาไม่ต้องการวุฒิสูงขนาดนี้ เขาต้องการคนทำงานเป็น เขาต้องการแค่นี้ ถ้าวุฒิเอ็งสูงขนาดนี้เอ็งก็เก็บแขวนไว้ที่บ้าน แล้วเอ็งก็ปลื้มใจของเอ็งไป แล้วก็หิ้วท้องไว้นะ เพราะเอ็งไม่มีปัจจัยเลี้ยงตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาแล้วศึกษามาก็ศึกษามาเพื่อปฏิบัติไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ นี่มันแยกกันไม่ได้ มันแยกจากกันไม่ได้ไง เวลาภาคปริยัติ ภาคปริยัติคือภาคการศึกษา เวลาศึกษามาๆ เห็นไหม ศึกษามาเวลาสอบ เวลาสอบโดยข้อเท็จจริงเห็นไหม ใครสอบได้ก็ได้ ใครสอบตกก็ตกไป

แต่ในทางโลกเห็นไหม เขาจะช่วยเหลือเจือจานกันนะ ก็ส่งชื่อสอบก็ได้ กรรมการเราก็ตรวจสอบกันเอง นี่วุฒิได้สูงส่งเลย ความรู้ท่วมหัว แต่งงๆ ไปไม่ถูก พระพุทธเจ้าสอนอะไร เรียนจบแล้วแต่พระพุทธเจ้าสอนอะไร แล้วสอนมรรคผลนิพพาน แล้วมรรคผลนิพพานมันมีจริงเปล่า เรียนจบแล้วนะ รับใบประกาศมาแล้วนะ มรรคผลนิพพานจะมีจริงหรือเปล่าวะ แล้วปฏิบัติ ปฏิบัติยังไง มีคนบอกกูที มีคนบอกกูที กูอยากจะปฏิบัติเต็มที

ปริยัติเขาเรียนมาๆ เพื่อปฏิบัติไง เรียนมาแล้วมีองค์ความรู้ใช่ไหม องค์ความรู้นี่ถ้าทฤษฏี องค์ความรู้ในการศึกษามาเห็นไหม เราก็ได้แบบแปลนมา จะสร้างบ้านสร้างเรือน เห็นไหม เขียนแบบมา นี่เวลาเราเขียนแบบไม่เป็นก็จ้างเขาเขียนแบบไว้ คนที่จบสถาปนิกเขาก็เขียนแบบขาย เขาเขียนแบบแล้วเขาก็เขียนแบบเพื่อคนที่สร้างบ้านต้องการสิ่งใด อยากมีความสะดวกสบาย อยากมีความสุขอย่างไงบอกมาเดี๋ยวเขียนให้ ถ้าเขียนให้แล้วเราก็ไปหาช่างสร้างขึ้นมา

อันนี้ก็เหมือนกัน เรียนมาก็เรียนสถาปนิกมา เรียนออกแบบมา ออกแบบมาแล้วนี่จะออกแบบได้สักห้าสิบหกสิบหลังเลย จะออกแบบเป็นหมู่บ้านเลย จะออกแบบมาเป็นชุมชนเลย ออกแบบไว้แล้วก็เป็นกระดาษแผ่นหนึ่งเห็นไหม ศึกษามาๆ ได้ปริยัติมา ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ถ้าศึกษามานี่เห็นไหม บอกปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะต้องมีการศึกษา ศึกษาก็ได้ศึกษาแล้ว

นี่พระกรรมฐานเห็นไหม ครูบาอาจารย์เรานี่เวลาท่านบวชมาแล้ว บวชกับอุปัชฌาย์ก็ให้มา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เห็นไหม ให้อนุโลม ปฏิโลม ให้พิจารณา เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าใครมีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้พิจารณาแล้วทะลุปรุโปร่งแล้วนี่ แล้วโลกนี้จะเอาอะไรมาหลอกเราวะ

โลกเราเห็นไหม ดูสิ มันก็แค่ผิวหนังนี่สวยๆ งามๆ แค่ผิวหนังมันปกปิดตาไว้ มนุษย์ขี้เท่อ คนโง่มันก็กินเหยื่อ เวลากินเหยื่อไปแล้วนี่ พอกินเหยื่อเข้าไป พอกินเหยื่อ เห็นไหม เบ็ดมันติดปาก พอติดปากแล้วพอบวชขึ้นมาแล้วนี่เห็นไหม มีครอบครัว มีครอบครัวก็มีลูกมีเต้าๆ ส่งเสียมีการเล่าเรียน ลูกมันเกขึ้นมา ลูกมันไม่ทำตามใจเรา นี่เบ็ดมันเกี่ยวปากก็ดิ้นพราดๆ อยู่อย่างนั้น

ศึกษามาๆ ศึกษามาก็ให้เข้าใจเห็นไหม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ถ้ามันทะลุปรุโปร่งแล้วนะ ดูสิ เวลาซากศพเห็นไหม พอมันตายแล้วเดี๋ยวมันก็เน่าก็เปื่อยไปทั้งนั้น ไอ้นี่มันยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังเต่งตึงอยู่นั่นน่ะ ประเดี๋ยวพอแก่เฒ่าชราขึ้นมามันก็เหี่ยวย่นไปเห็นไหม อุปัชฌาย์ก็ให้มาแล้วเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ปฏิโลมอนุโลมคือพิจารณา ถ้าพิจารณาได้เห็นไหม พอพิจารณาได้มันก็พิจารณาเป็นตามความเป็นจริงของมัน ถ้าพิจารณาไม่ได้ก็ฉันพิจารณาได้ พิจารณาไม่ได้ก็ว่าตามครูบาอาจารย์ ตามหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านพูดของท่านมา

เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านมาพิจารณาของท่าน ท่านก็เห็นตามความจริงของท่าน เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านพิจารณาของท่าน ถ้าเป็นอสุภะ พิจารณาไปแล้วมันทะลุปรุโปร่ง มันทะลุเข้าไปนะ นี่เนื้อแดงๆ เนื้อแดงๆ เห็นเป็นโครงกระดูก แต่มันเห็นเดี๋ยวเดียวไง เวลาเห็นมันก็สลดสังเวช เวลาใครพิจารณาไปพอไปเห็นเข้านะ แหม! มันซาบมันซึ้ง โอ๊ย! มัน... ไม่ถึงเดือนเสื่อมหมด พอเสื่อมไปแล้ว ไอ้จำอารมณ์ตัวนั้น พอจำอารมณ์ตัวนั้นไว้มันออกไปเห็นไหม

นี่ถ้ามันทำลายตนเอง คนเขามาสร้างเนื้อสร้างตัว คนทางโลกเขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของชีวิตของเขา เราบวชเป็นพระมา เราจะมาสร้างคุณงามความดีของเรา ถ้าเราสร้างคุณงามความดีของเรา เราศึกษามา ศึกษานี่เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาตินี่แหละ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ดูธรรมชาติสิ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลนี่ชาวไร่ชาวนาเขาก็เดือดร้อนแล้ว ถ้าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ธรรมชาตินี่ธรรมชาติมันดี ธรรมชาติมันสมดุลเห็นไหม ธรรมชาติไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมชาติไม่บีบคั้นเรา

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะแล้วก็เข้าใจ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้วก็ศึกษามาก็ปริยัติไง ศึกษามาให้ปฏิบัติ นั่นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิ เวลาทางโลกเขามีการศึกษา ศึกษาแล้วนี่เขาก็ต้องสอบเห็นไหม เวลาสอบมาแล้วถ้าเราทำข้อสอบได้ เราทำทางวิชาการได้มันก็ผ่าน

พอผ่านไปแล้ว ก็ทางวิชาการ ก็ศึกษามาฝึกฝน ฝึกฝนให้มีปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาเป็นองค์ความรู้ไว้ เรามีความรู้ไว้ เราวิเคราะห์วิจัยสิ่งใด วิเคราะห์วิจัยด้วยองค์ความรู้ของเรา ใครมีการศึกษามาเห็นไหม ศึกษามาทางวิชาการใด นี่ปัญหาสิ่งใดเกิดขึ้นก็มองตามองค์ความรู้ของตัวที่เรียนมา คนเรียนมาทางวิชาใดเขาก็คำนวณด้วยทางวิชาการของเขา เห็นไหม แล้วถ้าคำนวณทางวิชาการของเขา เรียนมาแตกต่างกันในปัญหาเดียวกันก็มองในมุมมองแตกต่างกัน ถ้าเรียนมาทางวิชาเดียวกันความหนักเบาในความรู้มันก็ค่อยพิจารณาไปแตกต่างกัน

นี่ก็เหมือนกัน เราเรียนทางปริยัติมา เราเรียนมาก็เรียนมาเหมือนกับทางโลกที่เขาเรียนกัน เขาเรียนกันเขาเรียนทางปริยัติ ปริยัติก็ต้องมาปฏิบัติ คนที่เรียนแล้วมีองค์ความรู้เขาก็ต้องหางาน แต่ถ้าหางานทำ ใครทำอาชีพส่วนตัว ส่วนตัวก็ใช้ภูมิปัญญาของตัว ถ้าภูมิปัญญาของตัวทำงานไปมันก็มีประสบการณ์เห็นไหม เวลามีปัญหาขึ้นมาเขาแก้ไขปัญหาของเขา นี่เวลามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเขาก็แก้ไขปัญหาของเขา ไอ้ปัญหาที่เขาแก้ไขขึ้นมาคือประสบการณ์การทำงานของเขา ถ้าเขามีประสบการณ์การทำงาน เวลาเขาไปสมัครงาน เห็นไหม มีประสบการณ์กี่ปี ๕ ปี ๑๐ ปี นี่มีค่าวิชา

ไอ้ของเรานี่เราศึกษามา เวลาศึกษามาพระกรรมฐานเราเห็นไหม เวลาบวชมาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์ให้มา ปักษ์นี่ครบเดือนแล้ว เข้าพรรษา ๓ เดือนนี่ครบเดือนแล้ว ข้อสอบอุปัชฌาย์ให้มาตั้งแต่วันบวช แล้วบวชขึ้นมานี่เราเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันได้ตอบข้อสอบบ้างหรือยัง ได้เห็นข้อสอบไหม ข้อสอบมันเป็นอย่างไง เห็นไหม ถ้าข้อสอบมันเป็นอย่างไง เห็นไหม นี่เราจะมาสร้างเนื้อสร้างตัวนะ

ทางโลกเขาสร้างเนื้อสร้างตัวเขาต้องทำของเขาเพื่อประสบความสำเร็จของเขา นี่เราจะสร้างหัวใจของเรา นี่ประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม เราสร้างหัวใจของเรานะ ถ้ามันเจริญงอกงามขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันก็ร่มเย็นเป็นสุขนะ

เวลาร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม เวลาภาวนาถ้าจิตมันสงบ ถ้ามันสงบได้อย่างนี้มันก็มีความสุข นี่ขนาดมันสงบได้ขนาดนี้นะ เรายังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงเลย ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง พอจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนานี่เป็นขั้นเป็นตอนเข้าไปนี่ ครูบาอาจารย์ท่านถึงได้เห็นอวิชชาไง

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลส นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากน่ากลัวมาก คนเรานี่นุ่มนวล คนเรานี่นิสัยนุ่มนวลอ่อนหวาน เวลามันดีมันดีหมด เวลากิเลสมันฟูขึ้นมา เวลากิเลสมันกระทุ้งขึ้นมานะ โอ้โฮ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ไปเลย ก็จากคนที่นุ่มนวลคนที่อ่อนหวานนี่มันทำให้เป็นคนที่โหดร้าย เป็นคนที่ทำลาย เป็นคนที่เอารัดเอาเปรียบ เป็นคนเห็นไหม เวลากิเลสมันตื่นตัวขึ้นมาน่ะ

ฉะนั้น โดยมารยาทสังคม นี่ด้วยมารยาท สิ่งใดที่มันไม่ดีทุกคนก็ไม่พูดออกมาหรอก เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลาความคิดขึ้นมานี่กิเลสตัณหาความทะยานในใจมันพุ่งพวยขึ้นมา มันคิดไปอีกอย่างหนึ่งนะ เวลาพูดขึ้นมานี่ อู้ย มารยาทสังคม พูดนุ่มนวลอ่อนหวาน พูดดีงาม เวลาทำขึ้นนะก็พยายามบังคับมันไว้ ในหัวใจนะเอ็งอย่าขึ้นมาสิ เอ็งอย่าต่อต้านสิ ข้าจะทำความดีนะ เห็นไหม กดมันไว้ กดมันไว้โดยมารยาทสังคมแล้วทำคุณงามความดี มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด

เราเป็นพระ เราบวชมาแล้วเห็นไหม เราจะเข้าไปเผชิญกับความจริงในใจของเรา ถ้าเผชิญกับความจริงในใจของเรา เรามีสติมีปัญญา ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนานะ เวลาพระบวชมานี่ เวลาหมดอำนาจวาสนา เขาเรียกว่าร้อน มันร้อนมาก มันร้อน มันจะไปท่าเดียว มันจะไปอะไร ไปเป็นฆราวาสไง มันจะไป มันจะสึกไปเป็นฆราวาส มันจะคิดว่ามันประสบความสำเร็จ อยู่ในผ้าเหลืองมันจะทุกข์มันจะยากนัก เห็นไหม เวลาคนหมดบุญ

เวลาคนเรามีบุญมีอำนาจวาสนา เราบวชมานี่นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ธงชัยพระอรหันต์ ธงชัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธงชัยของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้นุ่งห่มอย่างนี้ไง เราบวชมาแล้วเราก็มานุ่งห่ม นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เห็นไหม เรามีศีล เรามีศีล เรามีศีลสมบูรณ์เห็นไหม เราจะฝึกหัดของเรา เราจะมาสร้างเนื้อสร้างตัวของเรานะ

แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำลายตน มันทำลายตน ตนนี่จะสร้างคุณงามความดีขึ้นมา เวลาศึกษาเล่าเรียนขึ้นมา ไปศึกษามานะ วิชามันหางอึ่ง! ไอ้ความรู้ ไอ้ปริยัติ ไม่ใช่ดูถูกนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม “ธรรมะและวินัยเป็นศาสดาของเรา” เป็นศาสดา เราบวชมา ก็เราบวชมาเพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราบวชมาเพราะมีศาสนานะ

เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงมีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์แสดงธัมมจักฯ มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มันจึงสมบูรณ์ขึ้นมา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีแก้วสารพัดนึก มีไตรสรณคมน์ให้เราได้เคารพบูชา แล้วพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา แล้วเวลาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าปฏิบัติด้วยอามิสเลย”

ทำบุญกุศลนี่ว่าเป็นความสำคัญๆ มันยังเป็นอามิสเลย ให้ปฏิบัติบูชา เวลาปฏิบัติบูชา เราจะมาปฏิบัติบูชา เราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเอาความรู้นั้นมา เราบอกหางอึ่ง หางอึ่งเพราะมันเป็นโลก ฤดูกาลเห็นไหม ฤดูกาลที่มันสมบูรณ์ขึ้นมามันฝนตกต้องตามฤดูกาล นี่ชาวไร่ชาวนาเขาก็มีความสุขของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลากระแสสังคมวัฒนธรรมประเพณีเห็นไหม คนอยู่ในศีลในธรรมขึ้นมานี่ เราก็มีความร่มเย็นเป็นสุขของเราเพราะสังคมร่มเย็นเป็นสุข เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นชาวพุทธเห็นไหม เราศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ศึกษาทฤษฎี ศึกษาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นจริงของเรา

ถ้ามันศึกษามาเห็นไหม ศึกษามาแล้วด้วยนี่มันทำลายตน ทำลายตนด้วยวุฒิภาวะ ศึกษาแค่นี้ เขาศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ดูสิ หลวงตาศึกษาจนเป็นมหา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติไปหาหลวงปู่มั่น “มหา มหาเรียนมาจนถึงเป็นมหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมากนะ เก็บใส่ในลิ้นชักในสมอง” ลิ้นชักในสมองของตัว เพราะใครศึกษาคนนั้นก็มีความรู้ ใครไม่ศึกษาตำราก็อยู่อย่างนั้นนะ ถ้าไม่ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็อยู่อย่างนั้น

แต่เพราะคนไปศึกษามันมา คนไปศึกษาธรรมะ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้มีความรู้นั้นมา ได้ความรู้นั้นมา เขามีความรู้ไว้ทำไม ปริยัติเขาให้ศึกษาทำไม เขาให้ศึกษาไว้ปฏิบัติ เขาให้ศึกษาไว้ค้นคว้า เขาให้ศึกษาให้เข้ามาประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา เพราะความจริงธรรมและวินัยอันนี้ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เพราะใจมันเป็นธรรม

แต่นี้ใจมันเป็นกิเลส ใจมันทิฏฐิมานะ ใจมันอยากอวดอยากรู้ ศึกษาสิ่งใดมาก็ถือตัวถือตนว่ามีความรู้ แล้วความรู้เป็นความรู้ของใคร ความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ความรู้ของผู้ที่ศึกษานั้นเลย เพราะผู้ที่ศึกษายังไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นความจริงในใจของผู้ที่ปฏิบัตินั้นเลย สิ่งที่ศึกษามานั้นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็อวดรู้! เขาไม่มีครูบาอาจารย์สอนไง

เวลาหลวงตาท่านนะ ท่านไม่ได้อวดรู้ เวลาท่านศึกษาเห็นไหม ท่านบวชนะ บวชก็บวชเป็นประเพณีวัฒนธรรมเท่านั้น เวลามาศึกษาขึ้นมาเห็นไหม โอ้โฮ มันมีสวรรค์ด้วยเนาะ มีพรหมด้วยเนาะ ก็อยากจะทำคุณงามความดีให้ได้เกิดเป็นเทวดาเป็นพรหม ศึกษาๆ ไป เฮ้ย เทวดา อินทร์ พรหม เขายังอยู่ในวัฏฏะ มันยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ศึกษาจนถึงนิพพาน ฮู้ อย่างนั้นจะไปนิพพานดีกว่า เห็นไหม ก็จะข้ามพ้นจากเทวดาจากพรหมจะไปนิพพาน

ไปนิพพานก็ศึกษานะ ศึกษาตั้งสัจจะไว้ว่า ถ้าจบมหาแล้วจะออกปฏิบัติ อยากจะไปนิพพาน เวลาตั้งใจมันตั้งใจได้เพราะมันยังเป็นอนาคตยังมาไม่ถึง เวลาศึกษาเป็นมหาจบจะเอาจริงขึ้นมา อ้าว แล้วศึกษาขึ้นมาแล้วอยากไปนิพพานแล้วนิพพานจะมีจริงหรือเปล่า ถ้านิพพานจะมีจริงหรือเปล่าก็สงสัย แล้วสงสัยนี่พระไตรปิฎกก็พระไตรปิฎก ธรรมวินัยนี่เป็นศาสดาของเรา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว มันจะตอบความรู้ของเราไม่ได้

“ถ้ามีครูบาอาจารย์องค์ใดถ้าชี้ทางให้เราได้จริง จะเอาครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นที่พึ่ง”ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณของหลวงปู่มั่นท่านขจรขจาย เห็นไหม กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม มันหอมไปทั่วประเทศไทยเลย มันหอมไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย ท่านก็ดิ้นรนขวนขวายไปหาหลวงปู่มั่น เวลาเข้าไปหาผู้ที่มีความรู้จริงเห็นไหม เพราะการศึกษานั้นศึกษามา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นภาคปริยัติ ก็ศึกษามาไว้ ศึกษาให้มีองค์ความรู้ องค์ความรู้นี่เป็นองค์ความรู้ที่ยืมมา องค์ความรู้ที่เป็นสัญญา ที่เป็นการจดจำ ที่เป็นการวิเคราะห์วิจัยมา

แต่องค์ความรู้เป็นความจริง องค์ความรู้ที่จะแก้ไขวิกฤติในใจ ที่จะแก้ไขที่ว่าทำสมาธิได้ ไม่ได้ จะแก้ไขเวลากิเลสมันมาหลอกมาล่อ เวลากิเลสมันตลบตะแลง กิเลสมันพลิกมันแพลงขึ้นมานี่ ให้เราก้าวเดินไป ให้เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นไป ให้ชำระล้างกิเลส ให้ฆ่ากิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนี่ เรายังทำไม่เป็น เรายังทำไม่ได้ แล้วเราไม่รู้จักวิธีการกระทำเห็นไหม ถึงไปหาหลวงปู่มั่น

เวลาหลวงปู่มั่น “มหา มหามาหาทำไม มหาจะมาหานิพพานใช่ไหม นิพพานไม่ได้อยู่บนภูเขาดินฟ้าอากาศ ไม่ได้อยู่ที่ตำรับตำรา ไม่ได้อยู่ที่ที่การศึกษา ไม่ได้อยู่ที่ใดๆ เลย นิพพานมันจะอยู่ในใจของสัตว์โลก แต่สัตว์โลกมันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ มันเลยไม่รู้ไม่เห็นนิพพานขึ้นมาได้”

ฉะนั้น ถ้าจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษามาศึกษาเป็นองค์ความรู้นี่ มันเป็นประโยชน์ไง แต่ถ้าเวลาเราปฏิบัติไป เราจะเอาสิ่งนั้นเป็นเป้าหมาย สิ่งนั้นเป็นเครื่องหมายนี่กิเลสมันหัวเราะเยาะ กิเลสมันสร้างภาพเลย เพราะเราศึกษามาจบแล้ว เราศึกษานิพพาน เรารู้นิพพานหมดเลย แต่นิพพานเป็นยังไงวะ? งงๆ ศึกษามาจบแล้ว! ทำลายเห็นไหม มันทำลายตนเอง ความรู้เราเองมันทำลายเรา ความรู้นี่มันควรเป็นประโยชน์ใช่ไหม

ความรู้เห็นไหม นี่โลกนี้เจริญๆ ด้วยปัญญาใช่ไหม โลกจะเจริญได้ด้วยการศึกษา คนศึกษามีปัญญามันทำให้โลกเจริญ แต่เจริญนี้มันเจริญทางทฤษฏี เจริญนี้มันเจริญทางโลก ทางโลกคือปัญญาทางโลกนี่โลกียปัญญา ปัญญาการวิชาชีพใดมันก็ทำอย่างนั้นเพื่อประโยชน์ เพื่อคุณภาพชีวิต เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในสังคม กฎหมายก็รักษาให้สังคมสงบระงับ

การปกครองก็ปกครองเพื่อให้คนดี ถ้าเป็นเทคโนโลยีก็เพื่อความสะดวกสบาย มันศึกษามาก็ศึกษามาเพื่อความสงบร่มเย็นของสังคม นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษามาศึกษามีความรู้เต็มที่เลย ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานก็คือนิพพาน จบเลย แล้วทำยังไงวะ แล้วไปยังไง แล้วจะไปยังไงล่ะ ไปไม่ถูก ศึกษามาเพื่อประโยชน์นะ

ฉะนั้น ปริยัติแล้วเขาถึงให้ปฏิบัติไง แล้วเวลาปฏิบัติไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นถึง บอกว่าความรู้นี่ให้ใส่ลิ้นชักในสมองไว้ ใส่ลิ้นชักของคนศึกษานะ ถ้าไปใส่ลิ้นชักมันก็จะไปใส่ลิ้นชักห้องสมุดไง เวลาไปขังไว้โน้น แต่ความคิดกูยังอยู่นี่ แล้วความคิดยังทำลายกูอยู่นี่ เวลาจะใส่ในลิ้นชักก็ใส่ในลิ้นชักในสมอง ใครศึกษามาคนนั้นก็ต้องเก็บ เก็บงำไว้ก่อน

แล้วเวลาภาคปฏิบัติเห็นไหม แล้วก็บอกศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางไง ปริยัติต้องศึกษามาเพื่อปฏิบัติไง แล้วทำไมปฏิบัติ ทำไมไม่ปฏิบัติไปตามการศึกษานั้นมา ถ้าปฏิบัติตามการศึกษานั้นมาเห็นไหม กิเลสมันจะสร้างภาพ หลวงปู่มั่นท่านใช้คำว่า “มันจะเตะ มันจะถีบกันนะ” มันจะเตะมันจะถีบคือมันขัดแย้ง ความคิดสัญญาอารมณ์มันสร้างภาพไปก่อน ตามข้อเท็จจริง ถ้าเป็นสติ เป็นสมาธิ เป็นปัญญานะ มันยังไม่สมดุล มันยังไม่ได้ความเหมาะสมของมัน แต่ไอ้ด้วยความคิด ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันล่วงหน้าไปก่อน หรือมันสงสัยมันไม่ยอมก้าวเดินตามไปเห็นไหม มันเตะมันถีบกัน คือมันทำให้การปฏิบัติลำบาก

นี่คนที่ไม่รู้อะไรเลย ปฏิบัติไปเห็นไหม อย่างกรรมฐานเรานี่ ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ข้อวัตรปฏิบัติ รู้แต่วิธีการ แต่ไม่รู้เลยว่ากิเลสมันจะแง่งอนยังไง กิเลสมันจะซับซ้อนยังไง ด้วยความศรัทธาครูบาอาจารย์เห็นไหม หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านพากระทำ ทำข้อวัตรปฏิบัติไง ดูแลรักษาผ้ากาสาวพัสตร์ ซัก ดูแล ตาก เก็บ พับ ให้มีสติ ท่านทำๆ เพื่อหัวใจของคนไง

ถ้าหัวใจของคนเห็นไหม คนที่มีสติมีปัญญาพับผ้าเก็บผ้านี่มันจะเรียบ หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะนี่อยู่กับหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นท่านละเอียดรอบคอบขนาดไหน แล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นคนอุปัฏฐากผ้า นี่เก็บบริขารของหลวงปู่มั่นนะ ถ้าผ้าของหลวงปู่มั่นเก็บพับอย่างนั้นนะ เก็บพับให้เรียบ เก็บพับให้เป็นตัวอย่าง แล้วพระที่เข้าไปปฏิบัติ เขาก็เฝ้ามองอยู่ แล้วก็ผู้ที่เก็บพับ ถ้าไม่มีสติมันจะพับให้เรียบพับให้มันเหมาะสมอย่างนั้นได้อย่างไร

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านวางข้อวัตรไว้นี่ ท่านวางข้อวัตรว่าให้คนฝึกหัด ฝึกที่ไหน ฝึกหัวใจคนไง หัวใจที่มันเคารพบูชา หัวใจที่มันเห็นธรรมและวินัยเป็นศาสดา เขาฝึกนั่นนะ ไอ้ศึกษามา ศึกษาก็เก็บไว้ในสมอง เก่งมาก ไปไหนนี่ แหม! วางกล้าม รู้ไปหมดเลย ทำอะไรไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้อะไรควรไม่ควร อาวุโส ภันเต ก็ยังไม่รู้จัก ไม่รู้อะไรเลย แต่พอมาศึกษานะ มันเก่งมากนะ ไม่รู้อะไรเลย ที่รู้ก็แขวนไว้ รู้เอามาประดับกิเลส รู้ว่าตัวเองมีความรู้

แต่เวลาพระกรรมฐานเราอยู่กับหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ท่านให้ฝึกหัดข้อวัตร ถ้าฝึกหัดข้อวัตร ฝึกทำไม ฝึกก็เอาใจมาฝึกไง ถ้าใจของคนมันจะมาฝึกนะ มันจะมีสติ สติถ้าจับหยิบ หยิบจับมันจะรู้เลยว่าหยิบจับแล้วควรทำอย่างใด นี่หยิบจับๆ ด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่หยิบจับด้วยตีนเขี่ย เอาตีนเขี่ยๆ เขี่ยให้มันจบๆ ไป เฮ้ย ไม่ใช่งานของกู อู๊ย ทุเรศ งานเล็กน้อย อู๊ย ของไม่มีจำเป็นอะไรเลย ฮู้ เล็กน้อย ฮู้ ไม่มีความหมายเลย

คนอย่างนั้นน่ะคนไม่มีคุณสมบัติเป็นนักปฏิบัติ ไม่มีคุณสมบัติของพระกรรมฐาน ไม่มีคุณสมบัติของนักพรต ไม่มีคุณสมบัติของนักปฏิบัติ นักปฏิบัติหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ท่านสอนนะ สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน สอนให้รู้จักคารวะ ให้รู้จักเห็นไหม คารวะ ๖ ประชุมให้ประชุมพร้อมกัน เลิกประชุมให้เลิกประชุมพร้อมกัน นี่ถ้าสงฆ์สามัคคีต่อกันใครก็เข้ามายุแหย่ให้แตกแยกไม่ได้ แล้วถ้าหัวใจมันยอมรับธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสมันจะเข้ามายุแหย่ไม่ได้ ถ้ากิเลสมันเข้ามายุแหย่ไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเราศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเรามีสติมีปัญญารักษาหัวใจนี้ไว้

กิเลสเห็นไหม ครอบครัวมัน ปู่ของมัน พ่อของมัน ลูกของมัน หลานของมันเห็นไหม ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรคนี่ จะเข้าไปฆ่าครอบครัวของกิเลสแต่ละชั้นแต่ละตอนเข้าไป เวลามันยุมันแหย่ขึ้นไปแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมานี่ มันยุแหย่ขึ้นมาให้เราต่อต้านธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นทางโลกเห็นไหม ทางโลกโรคภัยไข้เจ็บนะ เห็นไหม โรคภัยไข้เจ็บมันก็ดื้อยา นี่มันก็ต่อต้านยา ยาสิ่งเข้าไปรักษามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับมันเลย มันต่อต้านตลอด

นี่ไง ถ้ามันทำลายตนนะ มันทำลายตนมันทำลายตนอย่างนี้ แล้วก็คิดว่าตัวเองมีความรู้ ตัวเองมีการศึกษา ตัวเองได้ศึกษามามีความรู้มาก ความรู้มากกิเลสมันพลิกแพลงมาใช้เป็นประโยชน์ของมันเลย ทำลายตน! ทำลายหมดเลย ทั้งๆ ที่ว่าตัวเองจะมาประพฤติปฏิบัติ ตัวเองบวชมาเพื่อที่จะชำระล้างกิเลส ส่งเสริมมัน ส่งเสริมมันยกย่องบูชามัน แล้วยังบอกว่าปฏิบัตินะ ยังบอกว่าเป็นพระกรรมฐานอยู่นะ ถ้ามันทำลายตนอย่างนั้น แล้วมันเป็นกรรมฐานอะไร นี่กิเลสมันครอบหัวไง

ทั้งๆ ที่บวชมามีศักยภาพ นี่มีศรัทธาความเชื่อ เวลาตั้งใจบวชก็บวชจะชำระล้างกิเลส จะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ จะจบสิ้นให้ได้ แต่เวลาเข้ามาแล้วนี่เข้ามาประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสตัณหาทะยานอยากให้กิเลสมันออกหน้าตลอด แล้วก็ศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาไว้เอาไว้โต้แย้งเขา ศึกษาไว้เพื่อปกป้องตัวเอง ศึกษาไว้ประดับเกียรติ ฉันมีความรู้นะ ฉันมีความรู้มาก ฉันเข้าใจธรรมวินัย

เขาศึกษาไว้ปฏิบัตินะ ศึกษาไว้ชำระล้างกิเลสนะ เขาไม่ได้ศึกษาไว้ให้โต้แย้งคนอื่นนะ ศึกษาเอามาไว้ว่ามีความรู้เอาไว้โต้แย้งเขา เอาไว้อวดเขา เอาไว้เหยียบย่ำเขา เอาไว้จับผิดเขา มันจะปิดตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง นี่มันทำลาย ทำลายตนทั้งนั้น

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานี่ เป็นหมู่เป็นคณะนะ ดูสิ เท้ากับมือมันก็หน้าที่แตกต่างกัน เท้าเขาเอาไว้ก้าวเดินนะ มือนี่เขาหยิบจับของ เวลาคิดเขาใช้สมอง เวลาเห็นเขาใช้ตา เวลาฟังนี่เขาใช้หู ทำไมมันไม่เกี่ยงกันเลย ทำไมหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่เห็นเกี่ยงหน้าที่กัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของมัน แล้วก็อยู่ในร่างกายเรา แล้วมันก็สมบูรณ์อยู่นี่ ทำไมไม่เห็นมันเกี่ยงกันเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นพระ เป็นสังฆะ เป็นสังคมมันจะไปเกี่ยงใคร มันต้องขวนขวายสิ อยากเดินก็ต้องด้วยเท้า จะหยิบจับของก็ด้วยมือ จะเห็นภาพก็ต้องตา จะฟังเสียงก็ด้วยหู ถ้าอยากรู้รสก็ด้วยลิ้น มันเกี่ยงกันตรงไหน ไม่เห็นมันเกี่ยงกันเลย ไม่เห็นมันเกี่ยงกันตรงไหน นี่ถ้ามันไม่เกี่ยงกันเห็นไหม ดูสิ ร่างกายของมนุษย์มันไม่เกี่ยงกัน มันก็เป็นประโยชน์เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน จะมีความรู้ขนาดไหนมีความรู้ไว้ชำระล้างเรา

หมู่คณะนะบวชมาเป็นสังฆะ บวชมาเป็นสงฆ์ ถ้าสงฆ์นี่มีหัวหน้าที่ดี ถ้าหัวหน้าที่ดีเห็นไหม ไม่ลำเอียงเพราะอะไรทั้งสิ้น ไม่ลำเอียงเพราะใครทั้งสิ้น แต่กิเลสของคนมันไม่เหมือนกัน กิเลสมีหยาบมีละเอียดแตกต่างกัน กิเลสหยาบๆ ต้องกระทืบมัน กิเลสอย่างละเอียดก็ค่อยๆ ประคองกันไป กิเลสมันมีหยาบมีละเอียด กิเลสบางคนมันดื้อด้าน มันหนา กิเลสบางคนมันเบาบาง

ฉะนั้น บอกว่า อู้ย ทำไมคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ท่านมีสติมีปัญญา เขาไม่ซื่อบื้ออย่างพวกเอ็งหรอก เขามีสติมีปัญญาเขาก็ดูแลไปอย่างนั้น นี่หมู่สงฆ์ไง ถ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่มีสติปัญญา ท่านจะเป็นผู้นำได้อย่างไง ถ้าเป็นผู้นำขึ้นมาท่านก็ดูแลของท่าน ดูแลความเป็นอยู่ของสงฆ์

ถ้าดูแลความเป็นอยู่ของสงฆ์เห็นไหม นี่ผู้นำที่ดีๆ แล้วผู้นำที่ดีจะไปหาเอาที่ไหน แล้วถ้ามันหาได้ หาได้ผู้นำที่ดีนี่เพราะชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณของหลวงปู่มั่นท่านร่ำลือนะ ร่ำลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านอยากจะสร้างศาสนทายาท แต่ใครเข้าไปหาหลวงปู่มั่นเลือดสาด เลือดโชกทุกคนนะ เลือดโชกเพราะกิเลสมันเยอะ กิเลสใครเยอะคนนั้นก็เลือดโชกเยอะ กิเลสใครเบาบางคนนั้นก็เลือดซิบๆ เพราะอะไร? เพราะนั่นหมอไง เขาจะรักษาๆ สร้างคุณธรรมในใจ แล้วใจที่ไปมันก็มีแต่ใจที่มีกิเลสทั้งนั้น

นี่ที่กิตติศัพท์กิตติคุณมันเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นอย่างนี้ไง เกิดขึ้นจากธรรมโอสถของท่านไง เกิดขึ้นจากการบันลือสีหนาท เกิดขึ้นจากสัจธรรมในใจของท่าน แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศึกษามาๆ ก็ศึกษามาภาคปริยัติ เขาศึกษามาให้ปฏิบัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจริงๆ ก็ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติแล้วไปไม่ถูกทาง ถ้าไปไม่ถูกทาง ถ้าปฏิบัติโดยตัวเองขึ้นไป อยู่อย่างนั้นน่ะ เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ วนไปเวียนมา หาทางออกไม่เจอ ไปทางไหนก็ไปไม่ถูก เวลาจิตสงบก็แหม มันลึกลับมหัศจรรย์ พอมันเสื่อมไปหมดเลย ไม่รู้จะไปทางไหน เร่าร้อนไปหมด

ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีการชักนำ มันก็อยู่อย่างนั้น เวียนไปเวียนมา ปฏิบัติไปปฏิบัติมา แบกกลดแบกบาตรไป แบกกลดแบกบาตรไปมา เป็นพระกรรมฐานเข้าป่าออกป่า โอ๊ย ไปมา ก็เท่านั้น! คนไม่เป็นก็คือไม่เป็น แล้วไม่เป็นนี่ทำลายตนซะอีก

ถ้าไม่เป็นแล้วยอมรับสัจจะความจริง เห็นไหม ยอมรับหมอ ผ่าตัดก็ต้องทำความสะอาดแผล ถ้าจะเข้าผ่าตัดก็ต้องฟื้นฟูร่างกาย เข้าไปแล้วเครื่องมือแพทย์นั้นต้องอบให้ดีอย่าให้ติดเชื้อ หมอผ่าตัดจะมีคุณสมบัติมากน้อยแค่ไหน หมอผ่าตัดที่ฝีมือไม่ถึง ผ่าตัดไปแล้วเห็นไหม ไส้ติ่งจะแตกผ่าเข้าไปแล้วไม่เจออะไรเลย ไส้ติ่งแตกต้องผ่าตัดเดี๋ยวนี้ ผ่าเข้าไปแล้วไม่เจออะไรเลย ถ้าหมอฝีมือไม่ถึง หมอฝีมือไม่ดี ผ่าตัดฟรี เจ็บฟรีๆ นะ เจ็บฟรีๆ ต้องจ่ายตังค์ด้วย

นี่หาครูหาอาจารย์เขาหากันอย่างนั้น ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่จริงเห็นไหม นี่บอกอู้ยนี่ก็ไม่ได้ นู้นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ก็ไม่ได้ก็เชื้อโรค เวลาเรามีเชื้อโรคเห็นไหม ดูสิ ดูโภชนาการสิ อะไรที่กินได้ อะไรที่กินไม่ได้ อะไรที่ควรกินและอะไรไม่ควรกิน ไอ้นี่จะกินดะเลย ถ้ากูอยากกินกูจะกิน ไม่รู้ กูจะกิน ทำไมอ่ะ นักโภชนาการบอกกินไม่ได้ ทำไมจะกินไม่ได้? ทำไมจะกินไม่ได้? ก็มันไม่เป็น มันไม่เป็นมันก็ดันทุรังไปทั้งนั้น ดันทุรังไปทั่ว ตัวเองมีความรู้ ปฏิบัติมาสุดยอด ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติไม่ได้อวดใคร อยู่ในป่าในเขา อยู่โคนต้นไม้ผู้เดียว หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “ท่านสำเร็จกลางต้นไม้ในป่า ต้นไม้ใบหนานั่งอยู่คนเดียว” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ผู้เดียวโคนต้นโพธิ์นั้น สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นองค์ศาสดา หลวงปู่มั่นเราอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านอยู่โคนต้นไม้ นั่งของท่านด้วยความสงบระงับของท่าน ด้วยมรรคญาณในใจของท่าน ชำระล้างถอนอวิชชาในใจของท่าน

เวลาท่านประพฤติปฏิบัติท่านไม่อวดใคร ไม่อวดใคร ไม่ต้องการให้ใครรับรู้ ไอ้อวดใครอยากให้ใครรับรู้นี่นั่นมันเป็น ๒ แล้วมันเป็นกิเลสยุแหย่ ยุแหย่ตะแคงรั่ว ทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน ฉะนั้นเวลาประพฤติปฏิบัตินะ เราไม่มีสติปัญญาพอที่จะปกครองดูแลใจของเรา ครูบาอาจารย์ของเรานั่นเห็นไหม ท่านคอยชี้นำ ท่านคอยดูแล แต่ไอ้เราก็ไม่เข้าใจ

เวลาไปโรงพยาบาลนะ ไม่มีหมอคนไหนเขาตามใจคนไข้หรอก มีแต่เขาแนะนำคนไข้ว่าควรทำตัวอย่างใด เพื่อจะให้การผ่าตัดนั้นการรักษาโรคนั้นสมบูรณ์ขึ้น รักษาสะดวกสบายขึ้น แล้วก็เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยนั้นเอง เพราะผู้ป่วยนั้นถ้าได้ทำตามทางวิชาการนั้น แผลก็รักษาง่าย การผ่าตัดการแก้ไขมันก็ง่าย ถ้ามันก็ง่ายขึ้นมา มันก็ง่ายทำสะดวกขึ้น มันก็อยู่ที่การบำรุงรักษาของเรา ผ่าตัดเสร็จแล้วเราจะมาฟื้นฟูร่างกายอย่างใดเพื่อให้กลับมาหายเป็นปรกติ

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราจะทำลายกิเลสนะ เราไม่ใช่ทำลายตนนะ นี่ตนเป็นคนทำเองนะ ถ้าคนมันทำเอง ใครทำให้ ที่มานั่งกันอยู่นี่ ใครทำให้ เวรกรรมทั้งนั้นนะ กรรมดี กรรมชั่ว ไม่มีใครทำให้ใครหรอก สิ่งที่เป็นมาเห็นไหม ฉะนั้นสิ่งที่เป็นมาแล้ว เราจะมาตีโพยตีพายว่าเราไม่เสมอคนนั้นไม่เสมอคนนี้ คนโน้นดีกับเราอย่างนี้ คนนี้เลวกับเราอย่างนั้น มันเป็นประโยชน์อะไร ก็ทุกคนทำมาอย่างนี้ทั้งนั้น

เพราะทำมาอย่างนี้มันถึงเป็นจริตเป็นนิสัย เพราะเราทำของเรามาเราถึงมีคุณสมบัติอย่างนี้ไง ถ้ามีคุณสมบัติศึกษาธรรมะแบบนี้แล้วนี่ เราก็มาฟื้นฟูเราไง ฟื้นฟูตั้งแต่ปัจจุบันนี้ไง นี่ต้องศีล สมาธิ ปัญญา ดูแลรักษาหัวใจของเรา ดูแลรักษาพิจารณาของเรา แยกแยะของเรา ถ้ามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา มันก็จะเป็นคุณสมบัติของเรา แล้วถ้าเป็นคุณสมบัติของเรานะ มันจะกลับมาเลยล่ะ ไม่น่าโง่อย่างนี้เลย ไม่น่าโง่ ไม่น่าโง่

แต่ถ้ายังไม่ปฏิบัตินะ กูฉลาด กูยอดคน กูแน่ แล้วครูบาอาจารย์ท่านมองแล้วเศร้า เพราะอะไร? เพราะไอ้ที่ว่าฉลาดๆ นะโง่เป็นควาย ควายมันยังฉลาดกว่านี้เลย ควายมันอยากกินหญ้ามันก็กินหญ้า กินหญ้าเสร็จมันก็ไปแช่น้ำ สงบเย็นไง เขาบอกว่าสงบเย็น สงบเย็นก็ควายไง มันกินหญ้าเสร็จมันก็ไปนอนแช่น้ำ สงบเย็น เย็นสบาย ควาย เอาความจริงสิ ความจริงนะถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นความจริง ไม่ใช่ความจริงแบบควาย เกิดมาเป็นคน เกิดมามีวาสนา เกิดมาแล้ว คุณงามความดีนี่ใครจะสร้างมาเห็นไหม

ถ้ามันเป็นความจริงก็เป็นความจริงนะ ไม่ใช่ทำลายตน สร้างสมการกระทำคุณงามความดี ความดีคือความดีของเราไง ถ้าความดีของเราใครเป็นคนทำ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาท่านแคร์อะไร หลวงปู่มั่นไม่เคยแคร์อะไรเลย นี่อยู่ในป่าในเขาท่านไม่เคยแคร์อะไรเลย มีแต่ประชาชนเท่านั้นที่พยายามขวนขวายเข้าไปหาท่าน คนขวนขวายเข้าไปหาท่านทั้งนั้นนะ ไม่เคยแคร์อะไรเลย

อะไรมันจะเหนือธรรม ธรรมะเหนือโลก เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเราปฏิบัติธรรมแล้ว ให้โลกมันใหญ่กว่า ยอมจำนนกับมันไปทุกเรื่อง ใครมาก็เอาแต่ข่าวลือมาโม้ มาอวด ไอ้นักปฏิบัตินั่นก็เชื่อเขา เอ็งไม่มีความจริงในใจเลยเหรอ ถ้ามีความจริงในใจมันเหนือโลกแล้ว โลกเขาแสวงหา เขาวิ่งมานี่เขาวิ่งมาหาอะไร เขาวิ่งหาสัจธรรม ไอ้เราอยู่นี่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส หูยาวเชียว! จะออกไปข้างนอก จะออกไปหาเขา ไอ้เขาวิ่งมาหาเราอยู่นี่

ถ้าไม่ทำลายตน ไม่ทำลายเรานะ ตนทำเองทั้งนั้นนะ ถ้าตนทำเพื่อประโยชน์และ ประโยชน์เรา ทำคุณงามความดีของเรา ความดีคือความดี อำนาจวาสนาบารมีจะเกิดขึ้นที่นี่ ถ้าที่นี่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา

หนึ่งเดือนแล้วนะ อีก ๒ เดือนเท่านั้นออกพรรษาแล้ว วันคืนล่วงไปๆบัดนี้พวกเธอทำอะไรอยู่ วันคืนล่วงไปๆ แก่ไปข้างหน้านะ ตายรออยู่ข้างหน้า แล้วทำอะไรกัน ทำให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา อย่าให้วันคืนล่วงไปๆ โดยที่ไม่มีคุณสมบัติไม่มีสิ่งใดติดไม้ติดมือเลย เอาคุณงามความดี เอาความจริงของเราขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับเรา ให้เป็นความจริงของเรา

บวชมาแล้ว เห็นไหม นี่เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่บวชเสียชาติเกิด ไอ้นี่บวชมาแล้ว บวชเป็นพระด้วย นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยพระอรหันต์ บวชมานี่บวชแต่ร่างกาย โกนหัวมาแล้ว แต่ไม่ได้โกนกิเลสเลย ไม่ได้ชำระกิเลสเลย แล้วหามันไม่เจอด้วย หามันให้เจอ ทำให้เป็นความจริงขึ้นมา ให้หัวใจมีคุณธรรมขึ้นมา ให้เป็นประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ เอวัง